ห่างหายไปนานเลย ในที่สุดก็ได้มีเวลามาเขียนบล็อกตัวเองสักที พูดไปก็ไม่เชิงว่าไม่มีเวลาหรอก แค่พูดข้ออ้างให้ดูดีก็เท่านั้น (แล้วผมจะบอกทำไมเนี้ย) เอาละเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ผ่านไป 3 ปีเต็มหลังจากที่ผมได้สร้างบล็อกมา พักหลังๆก็ไม่เคยเลยที่จะมาเขียนแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการเป็น Dev ของผม ก็แหงละสิดูจากหัวข้อโพสก็รู้แล้ว คือผมได้เลิกรับงานเป็นฟรีเลนซ์ แล้วหันมาเป็นครู ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผมอยากเลิกเป็นโปรแกรมเมอร์นะ ผมยังยืนยันว่าผมยังรักและหลงไหลในการเขียนโปรแกรม เพียงแค่พักหลังๆมานี้ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองใช้ร่างกายหนักจนเกินไป รับงานทีไรก็ลุยงานเต็มที่นอนบ้างไม่นอนบ้าง มันก็ธรรมดาของการเป็นฟรีแลนซ์ มีงานมาก็รับไว้ก่อน เพราะกลัวว่าเดียววันหน้าไม่มีงานเข้ามา พอรับงานมาเยอะมันก็ต้องใช้เวลาในการทำ จำได้ช่วงเรียนจบใหม่รับงานทีเดียว 3 โปรเจค Scope ของงานก็เยอะอยู่พอตัว 3 โปรเจคเสร็จภายใน 2 เดือนบ้าไปแล้ว ทำคนเดียวสะเดียว ก็อย่างว่าช่วง 20 ต้นๆร่างกายยังฟิตอดนอน 2-3 มันก็ยังทำงานไหลไปได้เรื่อยๆ ขอแค่มีคาเฟอีนให้จิบก็อึดแล้ว พอมาถึงปลายๆอายุ 20 เริ่มรู้สึกว่าร่างกายรวน ก็เลยปรึกษากับแฟนว่า คงต้องหางานประจำทำแล้ว อยู่แบบนี้มีหวังร่างกายพังแน่ๆ ที่นี้ก็เป็นที่มาของโจทย์ที่ว่า หางานใกล้บ้านเกิด เงินเดือนน้อยถึงจะบ้านนอกชนบทค่าครองชีพก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ เลยตัดสินใจเอาใบสมัครไปวางไว้ที่โรงเรียนเก่าสมัยมัธยม ซึ่งใกล้บ้านที่สุด ตำแหน่งที่สมัครไว้ก็เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับไอทีนี้แหละ เพราะช่วงนั้นผมได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่คนเดิมได้สอบบรรจุติดพนักงานราชการผมก็เลยคิดว่าเอาว่ะ อย่างน้อยมันก็ยังทำงานเกี่ยวกับไอที คอมพิวเตอร์อยู๋ ซึ่งหลักๆหล้วตำแหน่งนี้จะคอยดูแลพวกคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้น เมื่อมีปัญหาอะไรก็จะเรียกฝ่ายนี้แหละซ่อม หรือแก้ปัญหา แต่ไปๆมาๆ ทางโรงเรียนได้ยกเลิกตำแหน่งนี้แต่รับเราเป็นครูแทน ซึ่งช่วงนี้เป็นเวลาที่ทางกระทรวงศึกษาธิการได้เปลี่ยนหลักสูตรการศึกษา โดยเพิ่มวิชาวิทยาการคำนวนเข้าไปด้วย ทางโรงเรียนเห็นว่าเรานี้แหละน่าจะสอนได้เพราะเรียนมาด้านนี้

เก็กหน่อยจะถ่ายรูป ปิดหน้าแล้วชูสองนิ้วคือยังไง อิอิ

วันแรกที่ได้เข้าห้องเจอกับนักเรียนจำได้แม่นเลยเป็นชั้น ม.5 ผมก็ไม่ได้เตรียมการสอนแต่อย่างใดเพราะเป็นวันแรกที่เข้าห้องนี้ ก็เลยถือโอกาสแนะนำตัวเล่าประวัติและประสบการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอในชีวิตของการเป็นฟรีแลนซ์โปรแกรมเมอร์ ซึ่งเด็กนักเรียนก็ให้ความสนใจมาก เพราะที่นี้เขาไม่ค่อยมีเทคโนโลยีให้ใช้ (กฏของโรงเรียนห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ) เลยทำให้เด็กๆเสียโอกาสที่จะได้ใช้เทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการศึกษาอย่างการสือค้นข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ก็อย่างว่าได้อย่างเสียอย่าง ไว้ผมจะมาเล่ารายละเอียดในเรื่องนี้ในอีกบล็อก หลังจากที่โม้เล่าเรื่องประสบการณ์ให้นักเรียนฟังก็หมดเวลาของคาบที่ผมสอน ก็เลยออกจากห้องนั้น แล้วไปเข้าห้อง ม.5 อีกห้องต่อ ผมก็เล่าประสบการณ์และประวัติเหมือนห้องที่เพิ่งออกมา วนอยู่ 3 ห้องก็ถึงเวลาเลิกเรียนพอดี

ในคืนนั้นผมก็ได้แต่คิดว่าเราจะทำให้ยังไงที่จะให้เด็กๆนักเรียนได้เข้าถึงข้อมูลไร้พรมแดน คลังความรู้มหาศาลอย่างอินเตอร์เน็ต เพราะเราเองก็ได้มาเป็นโปรแกรมเมอร์สาย Dev ก็เรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตแทบนั้น เรียนภายในห้องก็แค่ปูพิ้นฐานและหลักการเท่านั้น ส่วนสิ่งที่จะทำให้เก่งและชำนาญนั้นล้วนมาจากความไฝ่รู้ของเราทั้งสิ้น อยากรู้อะไร ติดปัญหาอะไร ก็ใช้ Search Engine หาข้อมูล หาคำตอบ หาแนวทางเพื่อให้บรรลุผล ยิ่งหากเราสามารถเข้าใจได้หลายภาษาก็ยิ่งให้เราสามารถหาข้อมูลได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เพราะแน่นอนว่าข้อมูลทั้งหมดที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตถ้าคิดเป็นสัดส่วนแล้วผมกล้าการันตีได้เลยว่าเป็นภาษาอังกฤษแน่นอน

ในช่วงสามปีที่ผ่านมาผมได้สอนเรื่องเทคโนโลยีหลายอย่างแก่เด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเชิงตรรกะ สอนนักเรียนทำโปรเจ็คเกี่ยวกับไอที เช่น พวก DIY ที่ใช้อุปกรณ์อย่าง Micro Controller ทำโปเจ็ตเกี่ยวกับ IoT ถึงผมจะไม่ได้เขียนโปรแกรมเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสถ่ายถอดความรู้และสิ่งที่เราชอบให้กับนักเรียน มันก็สุขใจเช่นกัน เอาไว้ผมจะมาเขียนเกี่ยวกับโปรเจคต่างๆ ที่ได้สอนและช่วยนักเรียนทำ ขืนผมเขียนในบล็อกนี้เดียวมันจะยาวเป็นหางว่าวเดียวผู้อ่านจะเบื่อสะก่อน ไว้เจอกันในโพสหน้านะครับ

บรรยากาศการเข้าแถวนักเรียนชายยามเช้า
ส่วนภาพนี้ก็นักเรียนหญิง
ส่วนรูปนี้ผมเองครับ อย่างหล่อ ฮ่าๆ ชมตัวเองบ้าไปแล้ว
Facebook Comments